<center> <script async src="//pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js"></script> <!-- kakikboy --> <ins class="adsbygoogle" style="display:inline-block;width:728px;height:90px" data-ad-client="ca-pub-7767569259747975" data-ad-slot="8223741246"></ins> <script> (adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({}); </script>
Health News

ลูกเดือย....... ต้านมะเร็ง


ลูกเดือย
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coix lacryma-jobi
วงศ์ Poaceae
เป็นธัญพืชตระกูลเดียวกับข้าว เป็นพืชพื้นเมืองแท้ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมล็ดมีรูปร่างกลม ๆ รี ๆ สีขาว รสชาติออกมันเล็กน้อย มีคุณค่าทางอาหารสูง ให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมาก
สรรพคุณ / ประโยชน์ของลูกเดือย
ในตำรายาจีนบอกไว้ว่า ลูกเดือย ซึ่งมีรสจืดนั้นมีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงปอด ม้าม ตับ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้ทางเดินหายใจ เหน็บชา แก้ปวดเข่า ปวดข้อ ไขข้ออักเสบ แก้ชักกระตุก บวมน้ำ ปอดอ่อนแอไอเป็นเลือด ฝีที่ลำไส้ แก้อาการ ตกขาวผิดปกติ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงเส้นผมและผิวหนัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดการเกิดกระ รักษาโรคหูด ลดการ เกิดมะเร็ง เพราะมีสารคอกซีโนไลด์ (coxenolide)ที่มีสรรพคุณในการยับยั้งการเกิดเนื้องอก
ในหนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า แพทย์พบว่า ลูกเดือยออกฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ และยังแก้อักเสบ ลดคอเลสเตอรอล บรรเทาอาการเจ็บปวดอื่น ๆ เช่น ปวดท้องคลอดได้ ลดอาการบวม แก้โรคเหน็บชา
วิธีบรรเทา โรคตับอักเสบเรื้อรัง โรคไตอักเสบรุนแรง ให้นำลูกเดือยมาบดเป็นผงหรือต้มกินวันละ 12-35 กรัม จะช่วยรักษาภาวะทุพโภชนาการได้ หากนำลูกเดือยบดเป็นผง 30-60 กรัม ไปต้มรวมกับข้าวต้ม 60 กรัม แล้วกินทั้งเช้าและเย็น จะช่วยรักษาอาการบวมน้ำในคนชรา อาการท้องร่วง ข้อต่ออักเสบ อาการมือและเท้าชักกระตุกได้ดี ที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่สตรีมีครรภ์ควรระวัง
รักษาหูด
ผลการทดลองการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรังก็ช่วยยืนยันสรรพคุณของลูกเดือย โดยการทดลองในคนไข้ 23 ราย ให้กินลูกเดือย 60 กรัม ต้มรวมกับข้าวรับประทานวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะหาย หลังจากกินลูกเดือยติดต่อกัน 7-76 วัน ได้ผลหายขาด 11 ราย อาการดีขึ้น 8 ราย ไม่ได้ผล 6 ราย ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกนั่นเองค่ะ
ข้อมูลลูกเดือย....... ต้านมะเร็ง
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coix lacryma-jobi
วงศ์ Poaceae
เป็นธัญพืชตระกูลเดียวกับข้าว เป็นพืชพื้นเมืองแท้ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมล็ดมีรูปร่างกลม ๆ รี ๆ สีขาว รสชาติออกมันเล็กน้อย มีคุณค่าทางอาหารสูง ให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมาก
สรรพคุณ / ประโยชน์ของลูกเดือย
ในตำรายาจีนบอกไว้ว่า ลูกเดือย ซึ่งมีรสจืดนั้นมีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงปอด ม้าม ตับ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้ทางเดินหายใจ เหน็บชา แก้ปวดเข่า ปวดข้อ ไขข้ออักเสบ แก้ชักกระตุก บวมน้ำ ปอดอ่อนแอไอเป็นเลือด ฝีที่ลำไส้ แก้อาการ ตกขาวผิดปกติ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงเส้นผมและผิวหนัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดการเกิดกระ รักษาโรคหูด ลดการ เกิดมะเร็ง เพราะมีสารคอกซีโนไลด์ (coxenolide)ที่มีสรรพคุณในการยับยั้งการเกิดเนื้องอก
ในหนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า แพทย์พบว่า ลูกเดือยออกฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ และยังแก้อักเสบ ลดคอเลสเตอรอล บรรเทาอาการเจ็บปวดอื่น ๆ เช่น ปวดท้องคลอดได้ ลดอาการบวม แก้โรคเหน็บชา
วิธีบรรเทา โรคตับอักเสบเรื้อรัง โรคไตอักเสบรุนแรง ให้นำลูกเดือยมาบดเป็นผงหรือต้มกินวันละ 12-35 กรัม จะช่วยรักษาภาวะทุพโภชนาการได้ หากนำลูกเดือยบดเป็นผง 30-60 กรัม ไปต้มรวมกับข้าวต้ม 60 กรัม แล้วกินทั้งเช้าและเย็น จะช่วยรักษาอาการบวมน้ำในคนชรา อาการท้องร่วง ข้อต่ออักเสบ อาการมือและเท้าชักกระตุกได้ดี ที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่สตรีมีครรภ์ควรระวัง
รักษาหูด
ผลการทดลองการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรังก็ช่วยยืนยันสรรพคุณของลูกเดือย โดยการทดลองในคนไข้ 23 ราย ให้กินลูกเดือย 60 กรัม ต้มรวมกับข้าวรับประทานวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะหาย หลังจากกินลูกเดือยติดต่อกัน 7-76 วัน ได้ผลหายขาด 11 ราย อาการดีขึ้น 8 ราย ไม่ได้ผล 6 ราย ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกนั่นเองค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูล หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
http://www.n3k.in.th/
ทีมา : Facebook 

About Unknown

0 comments:

Post a Comment

Powered by Blogger.